EK 235 ดูไบ-ชิคาโก้ สหรัฐอเมริกา ล่องลอยบนฟ้า 15 ชม. ได้เหยียบพื้นดินซักที

EK 235 ดูไบ-ชิคาโก้ สหรัฐอเมริกา ล่องลอยบนฟ้า 15 ชม. ได้เหยียบพื้นดินซักที
สวัสดีครับท่านผู้อ่านและติดตามไปลองดูทุกท่าน เมื่อบทความที่แล้วผมได้เริ่มออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติดูไบมุ่งหน้าสู่เมืองชิคาโก้ สหรัฐอเมริกาด้วยสายการบินเอมิเรทส์ เที่ยวบิน EK 235 ชั้นธุรกิจ โดยหลังจากนั่งรอที่เลาจ์ผู้โดยสารชั้นธุรกิจและต่อจากนั้นได้ผ่านการตรวจสอบและขึ้นนั่งบนเครื่องตามลำดับ ต่อจากนี้ก็จะเป็นความตื่นเต้นที่พบตลอดที่อยู่บนเที่ยวบิน อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการรีวิวก็ว่าได้นะครับ

เส้นทางการขึ้นเครื่องของเที่ยวบิน EK235 นั้นจะแยกชั้นระหว่างชั้นธุรกิจกับชั้นประหยัด โดยทางขึ้นเครื่องค่อนข้างจะโล่งและผ่านตลอด ถือเป็นความโชคดีและความสะดวกสบายที่ได้รับในการเดินทางในครั้งนี้ 

และตำแหน่งการเดินทางในครั้งนี้คือ แถว F ซึ่งเป็นแถวที่อยู่ริมทางเดินของชั้นธุรกิจ เช่นเดิมครับ สำหรับชั้นธุรกิจจะมีมินิบาร์ คือ เครื่องดื่มจำพวกน้ำ น้ำผลไม้ น้ำอัด ไว้ให้บริการตัวเอง พร้อมทั้งชุดข้าวของเครื่องใช้สำหรับล้างหน้าแปรงฟัน มีทั้งนั้นที่กว้าง ปรับได้ มีทีวีจอใหญ่และมีที่วางเท้าอยู่ด้านหน้า

หลังจากจัดแจงที่นั่ง เก็บข้าของเรียบร้อย แอร์โฮสเตสสาวสวยก็เริ่มให้การต้อนรับด้วยการนำเครื่องดื่มเย็น ๆ มาเสิร์ฟ โดยให้เลือกระหว่าง แชมเปญกับน้ำผลไม้ ซึ่งในครั้งนี้ก็แน่นอนว่า เลือกดื่มแชมเปญ ครับ…อิอิ เพราะเดินทางมาไกล ต่างวัน ต่างเวลา ต้องใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์การช่วยให้หลับเพื่อลดความเพลียร่าง


ในเวลาต่อมาไม่นาน เครื่องก็ได้เริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าสู่นครชิคาโก้ รัฐอิลินอย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเวลา 09: 20 นาฬิกา แล้วการเดินทางที่แสนยาวไกลก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง โดยการบินในครั้งนี้จะใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 15 ชม. ในการทำการบิน ก็เอาเป็นว่า นั่งเพลิน ๆ ชมวิว ดูหนัง ฟังเพลง หลับ ๆ ตื่น ๆ คละเคล้ากันไป

เป็นเวลาประมาณ 30 นาที หลังจากทำการบิน แอร์โฮสต์เตสสายก็ทำการเดินมาถามว่าจะเลือกอาหารอะไรรับประทานในแต่ละมื้อ ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้จะมีการเสิร์ฟอาหารสองมือ คือ มื้อเช้าและมื้อเที่ยง สำหรับมื้อเช้านี้ ก็ขอสั่งอาหารง่าย ๆ คือไข่คนกับเครื่องเคียง 

สำหรับแต่ละกการเดินทางดูเหมือนว่าอาหารเช้าที่คนรู้จักกันจะมีไข่คนเป็นเมนูหลัก ซึ่งก็จะทำให้เลี่ยนมากจึงต้องขอสั่งไวน์มาช่วยดับคาวด้วย …แหม่!!! แต่เช้าเลย  

อาจะะดูเหมือนแต่เช้านะครับ เพราะเวลาประมาณ 11:00 นาฬิกา ตามเวลาของดูไบ แต่หากเทียบกับประเทศไทย เวลาประมาณบ่ายสามโมงเข้าไปแล้ว ดังนั้นไม่นับว่าเป็นการดื่มแต่เช้านะครับ….. อิอิ.

อิ่มหนำสำราญกับมื้อเช้าแล้ว พักผ่อนชิลล์ ๆ ดูหนัง ฟังเพลง รวมทั้งเดินเพื่อรออาหารย่อยนั่งชมวิวผ่านกล้องหน้าเครื่องและวิวจากนอกหน้าต่างก็ดูสวยงามดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเครื่องบินเข้าสู่น่านฟ้าของยุโรป จากความสูงกว่า 10 กิโลเมตรเหนือพื้นดิน  ยังคงบรรยากาศอันเขียวขจีและหลากหลายสีสัน
 
การนั่งเครื่องบินเป็นเวลานานนั้น หากเป็นครั้งแรกจะมีความสนุกและตื่นเต้นมาก จนถึงมากที่สุด แต่หากเมื่อผ่านไปซักสองสามครั้งแล้ว จะพบว่าเป็นการรอคอยที่ยาวนานมาก ต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ เท่าที่ที่สามารถทำได้ เพื่อให้คร่าเวลาให้หมดไป
ปัจจุบันนี้ นับได้ว่ามีความโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่บนเที่ยวบินจะสามารถใช้ WI-Fi ได้ด้วย โดยสมาชิกของสายการบินสามารถใช้งานได้ตลอดเส้นทาง ส่วนลูกค้าชั้นธุรกิจทั่วไปจะใช้ได้ฟรี 5M แต่หากจะต้องการใช้เพิ่มต้องซื้อ ประมาณ 400 บาท สามารถใช้ได้ 50M คลอดเที่ยวบิน นับเป็นความทันสมัยและสะดวกสบายของเทคโนโลยีในโลกสมัยที่สามารถติดต่อกับทุกคนได้ทุกที่ทุกเวลาครับ
 
ทักทายเพื่อนบนโลกโซเชียล เปิดหนังกล่อมพร้อมทั้งนั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ จนเวลาผ่านไปประมาณ 10 ชั่วโมงหลังจากทำการบิน กลิ่นการอุ่นอาหารลอยคลุ้งมาจากห้องครัวที่กลุ่มแอร์โฮสเตททำงาน นั้นหมายความว่ามือเที่ยงกำลังจะเริ่มมาเสิร์ฟแล้ว ดวงตาเริ่มเปร่งแสงแวววาว ด้วยกลิ่นอาหารที่ปลุกให้ตื่น ซักครู่แอร์โฮสเตทก็นำผ้าอุ่น ๆ มาให้เช็ดหน้า เช็ดมือ เตรียมตัวทานมื้อเที่ยงกัน
วันนี้มื้อเที่ยงมาแบบชุดใหญ่ไฟกระพริบมากครับทุกท่าน จัดสลัดปลาเซลมอนรมควัน พร้อมขนมปังและสลัดธัญพืชมาเรียกน้ำย่อย ซึ่งฝรั่งจะเรียกว่า Appetizer (แอพเพไทเซอร์) ซึ่งก็ได้ผลครับ ความหิวเริ่มมาเยือนอันเนื่องมากจากน้ำย่อยเริ่มหลังมากเมื่อทานอาหารชุดแรกเข้าไป
 
เมื่ออาหารเรียกน้ำย่อยหมอไป อาหารชุดหลักก็มาครับ วันนี้เมนูคือ อกเป็ดอบ ในจานประกอบไปด้วย อกเป็ดชิ้นใหญ่มากเนื้อนุ่ม พร้อมกับถั่วฝักยาวอบและเป็นหัวขิงดองรสชาติแปลก ๆ ติดมาด้วย ซึ่งสำหรับผมแล้วอกเป็ดกับถั่วนับเป็นอาหารที่อร่อยและเยอะมากสำหรับผม จึงไม่สามารถทานให้หมดได้ นอกจากนี้ในระหว่างมื้อก็มีวายแดงฝรั่งเศส เสิร์ฟให้ตลอดด้วย
หลังอาหารมื้อเที่ยงเก็บเรียบร้อย เวลาก็เหลือประมาณอีก สองชั่วโมงกว่า ๆ ที่เครื่องจะลงจอดที่สนามบินชิคาโก้ โอ’ แฮร์ (O’Hare) ก็นั่งดูทีวีเพลิน ๆ ต่อไป และเริ่มเตรียมเก็บข้าวของใส่กระเป๋ากันลืม ณ เวลานี้ ดีใจมากที่จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว หลังจากล่องลอยมานานแสนนาน….
 
เมื่อถึงเวลาลงจอด นักบินได้ปล่อยล้อเครื่องออกจากห้องเก็บล้อ เพื่อเป็นการเตรียม จากนั้นกล้องใต้เครื่องก็ริ่มทำงาน จึงสามารถมองเห็นเบื้องหน้า ได้เห็นวิวสนามบินประดุจหนึ่งมองจากห้องนักบิน ได้มองเห็นวิวจนกระทั้งเครื่องลงจอด ได้เห็นอะไรมากมายมากจากมุมนี้นะครับ จากนั้นเครื่องก็จอดสนิทและให้ผู้โดยสารอย่างเราสามารถเดินทางเข้าถึงสนามบินได้โดยตรง

การเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งประเทศที่มีการควบคุมเข้มมาก ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเริ่มมีการตรวจวีซ่าและหนังสือเดินทางตั้งแต่เดินทางเข้ามาห้องโดยสาร จากนั้นจึงเดินไปตามเส้นทาง คนทำงานและนักเรียน หรือผู้มาท่องเที่ยวและติดต่อธุรกิจ  ต่อจากนั้นก็จะแยกอีกครั้งว่า เป็นผู้โดยสารเดินทางจากแคนนาดา หรือเป็นผู้ถือหนังสือเดินทางอเมริกัน

สำหรับนักเดินทางประเทศอื่น ๆ ต้องทำการกรอกข้อมูลทางศุลกากรที่ต้องแจ้งการนำเข้า เงิน สินค้าเกษตร เสื้อผ้า ยาเสพติด ซึ่งทางการสหัรัฐอเมริกาต้องทำการควบคุม โดยการกรอกนั้นต้องกรอกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ บันทึกด้วยตัวเอง พร้อมกับลงลายนิ้วมือ เหมือนเมื่อครั้งทำวีซ่า จากนั้นจึงเข้าคิวต่อไปยังจุดตรวจลงเวลาโดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง

ระหว่างการดำเนินการตรวจคนเข้าเมือง สิ่งที่ต้องแสดงคือ หนังสือเดินทางพร้อมวีซ่า หากมีการเปลี่ยนเล่มต้องนำหนังสือเดือนทางเลิ่มเก่ามาด้วยนะครับ เอาเล่มที่มีวีซ่ามาแสดง จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะทำการซักถาม ดังนี้
     – มาทำอะไร
     – ต้องใช้เวลากี่วัน
     – พักที่ใหน
ซึ่งในครั้งนี้ผมตอบว่ามาทำงานกับบริษัทของสหรัฐอเมริกา พร้อมแสดงบัตรพนักงาน เพื่อการประชุมเป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์และพักที่โรงแรมฮิลตัน มิลวอร์คกี้ ซิตี้ เซนเตอร์ ซึ่งการลงเวลาก็ผ่านฉลุย ได้รับการให้เข้าอยู่ได้เป็นเวลา 6 เดือน ยาวนานมาก แต่อยู่ได้แค่หนึ่งอาทิตย์ครับ สำหรับรอบนี้

เนื่องจากการตรวจคนเข้าเมืองใช้เวลานานมาก ประกอบกับผู้โดยสารจำนวนมาก ณ จุดรับกระเป๋าพบว่า มีเจ้าหน้านำออกมากกองไว้รอ เรียงลายให้เดินเลือกหยิบจับของตัวเอง วางแบบนี้ค้นหายากมาก แต่ก็ในที่สุดก็ได้กระเป๋าของตัวเองและมุ่งหน้าสู่ประตูทางออก
 
ณ จุดประตูทางออกจะต้องผ่านด่านของศุลกากรเพื่อทำการซักถามและเก็บข้อมูลอีกครั้ง เกี่ยวกับการนำข้าวของติดตัวมา จากนั้นจึงเดินทางต่อได้
ที่ประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้า มีผู้คนจำนวนมากมารอรับญาติพี่น้อง โดยสนามบินโอ’ แฮร์ แห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก การที่ผู้คนมารอจึงดูแออัดยัดเยียดพอสมควร
 
จากนั้นก็ออกตามหารถรับส่งที่จะพาเราไปยังจุดจอดรถเช่า เพราะการเดินทางในครั้งนี้นัดเดินทางต่อจากชิคาโก้ไปยังเมืองมิลวอคกี้ด้วยการขับรถกันเอง ซึ่งได้ติดต่อไว้ก่อนหน้าแล้ว จึงได้เวลาเดินทางไปรับรถโดยรถรับส่ง รถรับส่งดูดีมีจุดนั่งและจุดวางกระเป๋าที่เป็นสัดส่วน นั่งสบายและเดินทางเข้าออกสะดวก จากนั้นก็รับรถและขับมุ่งหน้าสู่เมือง มิววอคกี้ อีกเป็นเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที

การเดินทางไปยังมิลวอคกี้จะเป็นยังไง เดี๋ยวมาเล่ากันต่อในบทความหน้านะครับ แต่กล่าวโดยสรุปคือ ระหว่างการบินที่ยาวนานนั้น ก็มีกิจกรรม ทั้งกิน นอนและดูหนัง เพื่อคร่าเวลา หวังว่าทุกท่านจะสนุกกับสิ่งที่ได้อ่านนะครับ

ขอบคุณทุกการติดตามครับ ยังไงพบกันใหม่บทความหน้านะครับ

ไปลองดู ไปให้รู้ ไปให้เห็น
>>>www.pailongdoo.com<<<

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *